อัตราส่วนการประเมินมูลค่าเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินใช้เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทหรือสินทรัพย์ อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจสุขภาพทางการเงิน ความสามารถในการทำกำไร และแนวโน้มการเติบโตของบริษัทโดยเปรียบเทียบราคาตลาดกับตัวชี้วัดทางการเงินต่าง ๆ ในขณะที่โดยปกติแล้วจะใช้ในตลาดหุ้นและธุรกิจองค์กร การเข้าใจอัตราส่วนเหล่านี้ก็มีความสำคัญมากขึ้นในบริบทของคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัล
อัตรา P/E เป็นหนึ่งในมาตรวัดความนิยมในการประเมินมูลค่าแบบดั้งเดิม มันแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนเต็มใจจ่ายเท่าไหร่สำหรับแต่ละดอลลาร์ของกำไรที่บริษัทสร้างขึ้น สูตรง่าย ๆ คือ:
P/E = ราคาตลาดต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น (EPS)
อัตรา P/E สูงบ่งชี้ว่าผู้ลงทุนคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนจากกำไรในอนาคตสูงขึ้น ในขณะที่ P/E ต่ำกว่าอาจแสดงถึงราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าหรือโอกาสเติบโตต่ำ ตัวอย่างเช่น หากหุ้นซื้อขายที่ 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยมี EPS อยู่ที่ 5 ดอลลาร์ อัตรา P/E จะเท่ากับ 20
อย่างไรก็ตาม ในตลาดคริปโต ตัวชี้วัดนี้ไม่ได้ใช้งานได้โดยตรง เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างรายได้เหมือนกับบริษัททั่วไป แต่จะใช้ตัวชี้วัดทางเลือก เช่น มาร์เก็ตแคป (Market Cap) เทียบกับปริมาณธุรกรรม หรือ อัตราส่วนราคาเทียบกับมาร์เก็ตแคป เพื่อเป็นตัวแทนในการประเมินแนวโน้มตลาดและความ valuation ของเหรียญคริปโต
อัตรานี้เปรียบเทียบราคาตลาดปัจจุบันของบริษัทกับมูลค่าทางบัญชี ซึ่งเป็นสินทรัพย์สุทธิบนงบดุล:
P/B = ราคาตลาดต่อหุ้น / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น
ถ้า P/B ต่ำ แสดงว่า หุ้นนั้นอาจถูก undervalued เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ ขณะที่ P/B สูงกว่าแสดงถึงความ overvaluation หรือความคาดหวังว่าจะเติบโตสูงซึ่งสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นเอง
สำหรับตลาดคริปโต ที่ไม่มีสินทรัพย์จับต้องได้เช่น ทรัพยากรจริงหรือรายงานงบดุล—โดยเฉพาะโปรเจ็กต์แบบ decentralized—แนวคิดนี้จึงเน้นไปที่ metrics เช่น มาร์เก็ตแคป เทียบกับ circulating supply หรือต่อ network value เทียบกับ transaction volume แทน
ตัวชี้วัดนี้บ่งบอกว่า นักลงทุนได้รับรายได้จากเงินปันผลมากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้น:
Dividend Yield = เงินปันผลรายปี / ราคาปัจจุบันของหุ้น
เหมาะสำหรับนักลงทุนเน้นรายรับ ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่จ่าย dividends แต่บางโทเค็น DeFi ก็เสนอ yields ผ่าน staking protocols หรือ rewards จาก liquidity provision ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันแต่ต้องใช้วิธีวิเคราะห์แตกต่างกันไป
ใช้อธิบายระดับ leverage ของบริษัท โดยเปรียบเทียบบริมาณหนี้รวมกับทุนผู้ถือหุ้น:
Debt-to-Equity Ratio = หนี้รวม / ทุนรวม
ยิ่ง ratio สูง ยิ่งหมายถึงระดับ leverage สูง ซึ่งเสี่ยงมากขึ้นหากระดับหนี้กลายเป็นภาระไม่สามารถจัดการได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ สำหรับบริบทคริปโต ที่ไม่มีหนี้แบบเดิม—แม้ว่าการซื้อขายด้วย leverage จะเกิดขึ้น—นักวิเคราะห์จะดูระดับ borrowing ภายในแพลตฟอร์มหรือกิจกรรม margin trading เป็นสัญญาณประมาณความเสี่ยงด้าน leverage ได้เช่นกัน
ROE วัด profitability เปรียบเทียบระหว่างกำไรสุทธิกับทุนผู้ถือหุ้น:
ROE = กำไรสุทธิ / ทุนรวม
สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการสร้างกำไรจากทุนของผู้ถือ ครอง แต่เนื่องจาก cryptocurrencies ส่วนใหญ่มักไม่มีโครงสร้าง equity เหมือนองค์กรทั่วไป เพราะเป็นเครือข่าย decentralized ไม่ใช่องค์กร มี shareholders การนำ ROE ไปใช้ตรงๆ จึงจำกัด แต่จะนิยมใช้ metrics ROI สำหรับ crypto มากกว่า
เปรียบเทียบบรรทุก assets กับ liabilities ระยะสั้น:
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินระยะสั้น
ยิ่งสูง ยิ่งดี หมายถึงสถานะทางการเงินระยะสั้นแข็งแรง ซึ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในตลาดคริปโต เนื่องจาก liquidity ถูกประเมินผ่าน trading volume มากกว่าบันทึกบนงบดุล
พิจารณาว่านักลงทุนเต็มใจจ่ายตามยอดขายมากเพียงใด:
P/S Ratio = ราคาต่อหน่วย / ยอดขายต่อหน่วย
มีคุณค่าเมื่อบริษัทมีขาดทุนแต่ยอดขายยังดีอยู่ สำหรับคริปโต ค่าประมาณ เช่น activity ของเครือข่าย เทียบกับ market cap หรือ transaction volume กับ valuation ก็ทำหน้าที่คล้ายกันเพื่อดูภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจภายในระบบ blockchain
ด้วยวิวัฒนาการด้านเทคนิคและกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาท การปรับนิยามและสูตรเดิมให้ทันยุคคือสิ่งสำคัญ เช่น
เนื่องด้วยสมมุติฐานพื้นฐานบางอย่างไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้ดี เช่น
อีกทั้ง:
แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ การเข้าใจข้อจำกัดช่วยลดความเข้าใจผิด พร้อมทั้งเน้นปรับแต่งตามบริบทเฉพาะ เพื่อให้งานวิจัย วิเคราะห์ digital assets ได้อย่างแม่นยำที่สุด
ปีหลังๆ นี้ มีวิวัฒนาการสำคัญหลายด้าน ได้แก่:
เพื่อรับมือ risks ทั้งเรื่อง regulation และ overvaluation ที่พบช่วง bull run ควบคู่ไปด้วย คำแนะนำคือ:
ด้วยวิธีเหล่านี้ คุณจะเพิ่ม confidence ใน decision-making แม้อยู่ในภาวะ volatility
Lo
2025-05-19 09:00
สูตรและการอภิปรายสำหรับอัตราส่วนการประเมินค่าหุ้นที่สำคัญคืออะไรบ้าง?
อัตราส่วนการประเมินมูลค่าเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินใช้เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทหรือสินทรัพย์ อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจสุขภาพทางการเงิน ความสามารถในการทำกำไร และแนวโน้มการเติบโตของบริษัทโดยเปรียบเทียบราคาตลาดกับตัวชี้วัดทางการเงินต่าง ๆ ในขณะที่โดยปกติแล้วจะใช้ในตลาดหุ้นและธุรกิจองค์กร การเข้าใจอัตราส่วนเหล่านี้ก็มีความสำคัญมากขึ้นในบริบทของคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัล
อัตรา P/E เป็นหนึ่งในมาตรวัดความนิยมในการประเมินมูลค่าแบบดั้งเดิม มันแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนเต็มใจจ่ายเท่าไหร่สำหรับแต่ละดอลลาร์ของกำไรที่บริษัทสร้างขึ้น สูตรง่าย ๆ คือ:
P/E = ราคาตลาดต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น (EPS)
อัตรา P/E สูงบ่งชี้ว่าผู้ลงทุนคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนจากกำไรในอนาคตสูงขึ้น ในขณะที่ P/E ต่ำกว่าอาจแสดงถึงราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าหรือโอกาสเติบโตต่ำ ตัวอย่างเช่น หากหุ้นซื้อขายที่ 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยมี EPS อยู่ที่ 5 ดอลลาร์ อัตรา P/E จะเท่ากับ 20
อย่างไรก็ตาม ในตลาดคริปโต ตัวชี้วัดนี้ไม่ได้ใช้งานได้โดยตรง เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างรายได้เหมือนกับบริษัททั่วไป แต่จะใช้ตัวชี้วัดทางเลือก เช่น มาร์เก็ตแคป (Market Cap) เทียบกับปริมาณธุรกรรม หรือ อัตราส่วนราคาเทียบกับมาร์เก็ตแคป เพื่อเป็นตัวแทนในการประเมินแนวโน้มตลาดและความ valuation ของเหรียญคริปโต
อัตรานี้เปรียบเทียบราคาตลาดปัจจุบันของบริษัทกับมูลค่าทางบัญชี ซึ่งเป็นสินทรัพย์สุทธิบนงบดุล:
P/B = ราคาตลาดต่อหุ้น / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น
ถ้า P/B ต่ำ แสดงว่า หุ้นนั้นอาจถูก undervalued เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ ขณะที่ P/B สูงกว่าแสดงถึงความ overvaluation หรือความคาดหวังว่าจะเติบโตสูงซึ่งสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นเอง
สำหรับตลาดคริปโต ที่ไม่มีสินทรัพย์จับต้องได้เช่น ทรัพยากรจริงหรือรายงานงบดุล—โดยเฉพาะโปรเจ็กต์แบบ decentralized—แนวคิดนี้จึงเน้นไปที่ metrics เช่น มาร์เก็ตแคป เทียบกับ circulating supply หรือต่อ network value เทียบกับ transaction volume แทน
ตัวชี้วัดนี้บ่งบอกว่า นักลงทุนได้รับรายได้จากเงินปันผลมากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้น:
Dividend Yield = เงินปันผลรายปี / ราคาปัจจุบันของหุ้น
เหมาะสำหรับนักลงทุนเน้นรายรับ ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่จ่าย dividends แต่บางโทเค็น DeFi ก็เสนอ yields ผ่าน staking protocols หรือ rewards จาก liquidity provision ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันแต่ต้องใช้วิธีวิเคราะห์แตกต่างกันไป
ใช้อธิบายระดับ leverage ของบริษัท โดยเปรียบเทียบบริมาณหนี้รวมกับทุนผู้ถือหุ้น:
Debt-to-Equity Ratio = หนี้รวม / ทุนรวม
ยิ่ง ratio สูง ยิ่งหมายถึงระดับ leverage สูง ซึ่งเสี่ยงมากขึ้นหากระดับหนี้กลายเป็นภาระไม่สามารถจัดการได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ สำหรับบริบทคริปโต ที่ไม่มีหนี้แบบเดิม—แม้ว่าการซื้อขายด้วย leverage จะเกิดขึ้น—นักวิเคราะห์จะดูระดับ borrowing ภายในแพลตฟอร์มหรือกิจกรรม margin trading เป็นสัญญาณประมาณความเสี่ยงด้าน leverage ได้เช่นกัน
ROE วัด profitability เปรียบเทียบระหว่างกำไรสุทธิกับทุนผู้ถือหุ้น:
ROE = กำไรสุทธิ / ทุนรวม
สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการสร้างกำไรจากทุนของผู้ถือ ครอง แต่เนื่องจาก cryptocurrencies ส่วนใหญ่มักไม่มีโครงสร้าง equity เหมือนองค์กรทั่วไป เพราะเป็นเครือข่าย decentralized ไม่ใช่องค์กร มี shareholders การนำ ROE ไปใช้ตรงๆ จึงจำกัด แต่จะนิยมใช้ metrics ROI สำหรับ crypto มากกว่า
เปรียบเทียบบรรทุก assets กับ liabilities ระยะสั้น:
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินระยะสั้น
ยิ่งสูง ยิ่งดี หมายถึงสถานะทางการเงินระยะสั้นแข็งแรง ซึ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในตลาดคริปโต เนื่องจาก liquidity ถูกประเมินผ่าน trading volume มากกว่าบันทึกบนงบดุล
พิจารณาว่านักลงทุนเต็มใจจ่ายตามยอดขายมากเพียงใด:
P/S Ratio = ราคาต่อหน่วย / ยอดขายต่อหน่วย
มีคุณค่าเมื่อบริษัทมีขาดทุนแต่ยอดขายยังดีอยู่ สำหรับคริปโต ค่าประมาณ เช่น activity ของเครือข่าย เทียบกับ market cap หรือ transaction volume กับ valuation ก็ทำหน้าที่คล้ายกันเพื่อดูภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจภายในระบบ blockchain
ด้วยวิวัฒนาการด้านเทคนิคและกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาท การปรับนิยามและสูตรเดิมให้ทันยุคคือสิ่งสำคัญ เช่น
เนื่องด้วยสมมุติฐานพื้นฐานบางอย่างไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้ดี เช่น
อีกทั้ง:
แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ การเข้าใจข้อจำกัดช่วยลดความเข้าใจผิด พร้อมทั้งเน้นปรับแต่งตามบริบทเฉพาะ เพื่อให้งานวิจัย วิเคราะห์ digital assets ได้อย่างแม่นยำที่สุด
ปีหลังๆ นี้ มีวิวัฒนาการสำคัญหลายด้าน ได้แก่:
เพื่อรับมือ risks ทั้งเรื่อง regulation และ overvaluation ที่พบช่วง bull run ควบคู่ไปด้วย คำแนะนำคือ:
ด้วยวิธีเหล่านี้ คุณจะเพิ่ม confidence ใน decision-making แม้อยู่ในภาวะ volatility
คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข