ความเข้าใจวิธีตรวจจับการจัดการรายได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน ผู้สอบบัญชี และหน่วยงานกำกับดูแลที่มุ่งรักษาความโปร่งใสทางการเงิน เครื่องมือเชิงปริมาณที่ได้รับความนิยมอย่าง Beneish M-Score ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ บทความนี้ให้คำแนะนำอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีคำนวณ Beneish M-Score อธิบายส่วนประกอบ กระบวนการคำนวณ และการใช้งานในเชิงปฏิบัติ
Beneish M-Score เป็นโมเดลทางสถิติที่พัฒนาขึ้นโดยศาสตราจารย์ Messod Beneish ในปี ค.ศ. 1999 จุดประสงค์หลักคือเพื่อระบุบริษัทที่อาจมีพฤติกรรมจัดการรายได้ผ่านความผิดปกติด้านบัญชี ต่างจากอัตราส่วนทางการเงินแบบดั้งเดิมที่ให้ภาพรวมของผลประกอบการ เพียงชั่วคราว ตัวชี้วัดใน M-Score รวมกันเป็นตัวเลขเดียวซึ่งสามารถบ่งชี้สัญญาณเตือนในรายงานทางการเงิน
คะแนนนี้ได้รับความน่าเชื่อถือจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น SEC และนักลงทุน เนื่องจากนำเสนอแนวทางตามหลักฐานในการตรวจจับทุจริต ช่วยให้ผู้ใช้งานประเมินว่ารายได้ที่รายงานไว้มีแนวโน้มถูกปลอมแปลงหรือไม่ โดยอาศัยรูปแบบข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์
กระบวนการคำนวณ Beneish M-Score ประกอบด้วยตัวแปรสำคัญ 8 ตัว ซึ่งได้มาจากงบแสดงฐานะและงบกำไรขาดทุนของบริษัท:
Net Income / Total Assets (Income Asset Ratio)
วัดผลกำไรสุทธิเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์; อัตราส่วนสูงผิดปกติอาจหมายถึง การปลอมแปลงรายได้
Total Assets / Total Current Assets (Asset Quality Index)
ชี้ว่าบริษัทใช้สินทรัพย์หมุนเวียนมากเกินไปหรือปล่อยให้มูลค่าทรัพย์สินสูงเกินจริง
Revenue / Total Assets (Sales Efficiency Ratio)
ประเมินว่าตัวเลขยอดขายสูงเกินสมควรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์หรือไม่
Cash Flow from Operations / Total Assets
วิเคราะห์ว่า กระแสเงินสดสนับสนุนผลประกอบการณ์หรือไม่; ความแตกต่างอาจเป็นเครื่องหมายของ การจัดฉากผลกำไร
Total Current Assets / Total Current Liabilities
ตรวจสอบระดับสภาพคล่อง; อัตราส่วนผิดธรรมดาอาจชี้ถึง การทำบัญชีเชิงรุก
Net Income / Total Revenue
ดูส่วนต่างของกำไรขั้นต้น; กำไรสูงผิดธรรมดาอาจเป็นเครื่องหมายของ รายรับโอเวอร์เรพอร์ต
Depreciation / Total Assets
ติดตามค่าเสื่อมราคา; ค่าเสื่อมราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงสามารถเพิ่มผลกำไรเทียม
Sales / Net Income
วิเคราะห์ยอดขายเทียบกับรายได้สุทธิ; ความแตกต่างมากมาย อาจบ่งชี้ว่า รายรับถูกปลอมแปลงเกินจริง
แต่ละองค์ประกอบสะท้อนกลยุทธ์ในการบริหารผลประกอบการณ์ ที่บริษัทใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางด้านธุรกิจที่ดีขึ้นกว่าในความเป็นจริง
ก่อนที่จะนำไปคำนวณคะแนนรวม คุณต้องใช้ข้อมูลเฉพาะจากงบฐานะและงบกำไรขาดทุน รวมทั้งบางครั้งต้องทำสูตรเพิ่มเติม:
(Average Accounts Receivable / Revenue) * จำนวนวัน
ตัวแปรเหล่านี้จะถูกคำนวณด้วยสูตรเฉพาะสำหรับแต่ละตัว แล้วนำเข้าสู่สมาการสุดท้ายต่อไป
เมื่อคุณคำนวณค่าของแต่ละตัวแล้ว ก็จะนำมาใช้สูตรผสมดังนี้:
[ M = -4.84 + 0.920 \times DSR + 0.528 \times GMI + 0.404 \times ALTI + 0.892 \times SGI + 0..115 \times DEPI + 0..172 \times MG + 4..679 \times ATRI ]
สูตรนี้จะให้น้ำหนักแก่แต่ละองค์ประกอบ แล้วรวมกันเป็นคะแนนเดียว ซึ่งค่าที่สูงขึ้น หมายถึงโอกาสที่จะมีการจัดฉากรายได้มากขึ้นตามไปด้วย
ค่าที่ได้นั้น ต้องตีความภายในบริบท:
ทั้งนี้ เกณฑ์เหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนตามมาตรฐานในแต่ละกลุ่มธุรกิจและสถานการณ์ เพื่อเพิ่มแม่นยำ ควบคู่ไปกับข้อมูลเชิงคุณภาพก็ช่วยเพิ่มความแม่นยำอีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุน ใช้โมเดลดังกล่าวร่วมในการตรวจสอบสุขภาพบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน หรือตรวจสอบเอกสารบริษัทระหว่างกระบวนการแข่งขัน:
แม้ว่าจะมีจุดแข็ง แต่ก็อย่าพึ่งพาเพียงหนึ่งเครื่องมือ เพราะ false positives ก็เกิดขึ้นได้ เช่น สถานการณ์เติบโตเร็ว หรือ ปรับโครงสร้าง ที่ทำให้อัตราส่วนพลิกผันชั่วคราว
เพื่อใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ:– รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถืออย่างถูกต้องแม่นยำ – ปรับ threshold ให้เหมาะสมตามประเภทธุรกิจและสถานการณ์เฉพาะหน้า – ใช้ร่วมเครื่องมือ forensic อื่น ๆ เช่น วิเคราะห์ ratio และกระบวนตรวจสอบบัญชี – ติดตามข่าวสาร งานวิจัยใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงโมเดลให้แม่นยำมากขึ้น
โดยเข้าใจทั้งกลไกแต่ละส่วนและวิธีผสมผสานกันในกรอบนี้ ผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต ขององค์กร พร้อมรักษามาตรฐานด้านวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบบัญชีและเศษฐศาสตร์องค์กร
JCUSER-IC8sJL1q
2025-05-19 16:35
วิธีคำนวณ Beneish M-Score สำหรับการปรับเปลี่ยนกำไร
ความเข้าใจวิธีตรวจจับการจัดการรายได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน ผู้สอบบัญชี และหน่วยงานกำกับดูแลที่มุ่งรักษาความโปร่งใสทางการเงิน เครื่องมือเชิงปริมาณที่ได้รับความนิยมอย่าง Beneish M-Score ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ บทความนี้ให้คำแนะนำอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีคำนวณ Beneish M-Score อธิบายส่วนประกอบ กระบวนการคำนวณ และการใช้งานในเชิงปฏิบัติ
Beneish M-Score เป็นโมเดลทางสถิติที่พัฒนาขึ้นโดยศาสตราจารย์ Messod Beneish ในปี ค.ศ. 1999 จุดประสงค์หลักคือเพื่อระบุบริษัทที่อาจมีพฤติกรรมจัดการรายได้ผ่านความผิดปกติด้านบัญชี ต่างจากอัตราส่วนทางการเงินแบบดั้งเดิมที่ให้ภาพรวมของผลประกอบการ เพียงชั่วคราว ตัวชี้วัดใน M-Score รวมกันเป็นตัวเลขเดียวซึ่งสามารถบ่งชี้สัญญาณเตือนในรายงานทางการเงิน
คะแนนนี้ได้รับความน่าเชื่อถือจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น SEC และนักลงทุน เนื่องจากนำเสนอแนวทางตามหลักฐานในการตรวจจับทุจริต ช่วยให้ผู้ใช้งานประเมินว่ารายได้ที่รายงานไว้มีแนวโน้มถูกปลอมแปลงหรือไม่ โดยอาศัยรูปแบบข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์
กระบวนการคำนวณ Beneish M-Score ประกอบด้วยตัวแปรสำคัญ 8 ตัว ซึ่งได้มาจากงบแสดงฐานะและงบกำไรขาดทุนของบริษัท:
Net Income / Total Assets (Income Asset Ratio)
วัดผลกำไรสุทธิเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์; อัตราส่วนสูงผิดปกติอาจหมายถึง การปลอมแปลงรายได้
Total Assets / Total Current Assets (Asset Quality Index)
ชี้ว่าบริษัทใช้สินทรัพย์หมุนเวียนมากเกินไปหรือปล่อยให้มูลค่าทรัพย์สินสูงเกินจริง
Revenue / Total Assets (Sales Efficiency Ratio)
ประเมินว่าตัวเลขยอดขายสูงเกินสมควรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์หรือไม่
Cash Flow from Operations / Total Assets
วิเคราะห์ว่า กระแสเงินสดสนับสนุนผลประกอบการณ์หรือไม่; ความแตกต่างอาจเป็นเครื่องหมายของ การจัดฉากผลกำไร
Total Current Assets / Total Current Liabilities
ตรวจสอบระดับสภาพคล่อง; อัตราส่วนผิดธรรมดาอาจชี้ถึง การทำบัญชีเชิงรุก
Net Income / Total Revenue
ดูส่วนต่างของกำไรขั้นต้น; กำไรสูงผิดธรรมดาอาจเป็นเครื่องหมายของ รายรับโอเวอร์เรพอร์ต
Depreciation / Total Assets
ติดตามค่าเสื่อมราคา; ค่าเสื่อมราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงสามารถเพิ่มผลกำไรเทียม
Sales / Net Income
วิเคราะห์ยอดขายเทียบกับรายได้สุทธิ; ความแตกต่างมากมาย อาจบ่งชี้ว่า รายรับถูกปลอมแปลงเกินจริง
แต่ละองค์ประกอบสะท้อนกลยุทธ์ในการบริหารผลประกอบการณ์ ที่บริษัทใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางด้านธุรกิจที่ดีขึ้นกว่าในความเป็นจริง
ก่อนที่จะนำไปคำนวณคะแนนรวม คุณต้องใช้ข้อมูลเฉพาะจากงบฐานะและงบกำไรขาดทุน รวมทั้งบางครั้งต้องทำสูตรเพิ่มเติม:
(Average Accounts Receivable / Revenue) * จำนวนวัน
ตัวแปรเหล่านี้จะถูกคำนวณด้วยสูตรเฉพาะสำหรับแต่ละตัว แล้วนำเข้าสู่สมาการสุดท้ายต่อไป
เมื่อคุณคำนวณค่าของแต่ละตัวแล้ว ก็จะนำมาใช้สูตรผสมดังนี้:
[ M = -4.84 + 0.920 \times DSR + 0.528 \times GMI + 0.404 \times ALTI + 0.892 \times SGI + 0..115 \times DEPI + 0..172 \times MG + 4..679 \times ATRI ]
สูตรนี้จะให้น้ำหนักแก่แต่ละองค์ประกอบ แล้วรวมกันเป็นคะแนนเดียว ซึ่งค่าที่สูงขึ้น หมายถึงโอกาสที่จะมีการจัดฉากรายได้มากขึ้นตามไปด้วย
ค่าที่ได้นั้น ต้องตีความภายในบริบท:
ทั้งนี้ เกณฑ์เหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนตามมาตรฐานในแต่ละกลุ่มธุรกิจและสถานการณ์ เพื่อเพิ่มแม่นยำ ควบคู่ไปกับข้อมูลเชิงคุณภาพก็ช่วยเพิ่มความแม่นยำอีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุน ใช้โมเดลดังกล่าวร่วมในการตรวจสอบสุขภาพบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน หรือตรวจสอบเอกสารบริษัทระหว่างกระบวนการแข่งขัน:
แม้ว่าจะมีจุดแข็ง แต่ก็อย่าพึ่งพาเพียงหนึ่งเครื่องมือ เพราะ false positives ก็เกิดขึ้นได้ เช่น สถานการณ์เติบโตเร็ว หรือ ปรับโครงสร้าง ที่ทำให้อัตราส่วนพลิกผันชั่วคราว
เพื่อใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ:– รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถืออย่างถูกต้องแม่นยำ – ปรับ threshold ให้เหมาะสมตามประเภทธุรกิจและสถานการณ์เฉพาะหน้า – ใช้ร่วมเครื่องมือ forensic อื่น ๆ เช่น วิเคราะห์ ratio และกระบวนตรวจสอบบัญชี – ติดตามข่าวสาร งานวิจัยใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงโมเดลให้แม่นยำมากขึ้น
โดยเข้าใจทั้งกลไกแต่ละส่วนและวิธีผสมผสานกันในกรอบนี้ ผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต ขององค์กร พร้อมรักษามาตรฐานด้านวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบบัญชีและเศษฐศาสตร์องค์กร
คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข