JCUSER-IC8sJL1q
JCUSER-IC8sJL1q2025-05-18 13:45

วิธีการแยกแยะรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว จากรายได้ที่เกิดซ้ำๆ ในบัญชีผลประโยช์

วิธีแยกแยะรายการครั้งเดียวจากรายได้ประจำ

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างรายการครั้งเดียวและรายได้ประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ทางการเงินที่แม่นยำ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดทั้งแบบดั้งเดิมและคริปโต การเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัทหรือโครงการที่ผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการตัดสินใจลงทุนที่ไม่ดี คู่มือนี้จะให้ภาพรวมชัดเจนเกี่ยวกับวิธีแยกความแตกต่างระหว่างสองประเภทของรายได้นี้และทำไมมันจึงสำคัญ

รายการครั้งเดียวในงบการเงินคืออะไร?

รายการครั้งเดียวคือธุรกรรมหรือเหตุการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลารายงานเท่านั้น พวกมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติของธุรกิจหรือโครงการ ซึ่งอาจรวมถึงกำไรจากขายสินทรัพย์ การชำระหนี้ตามกฎหมาย ค่าปรับปรุงโครงสร้างองค์กร หรือค่าใช้จ่ายพิเศษ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์เฉพาะ ผลกระทบต่องบการเงินจึงไม่สะท้อนถึงผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น:

  • ขายอสังหาริมทรัพย์ในราคาที่มีกำไร
  • รับค่าชดเชยจากประกันภัย
  • ค่าธรรมเนียมปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเนื่องจากปลดคนงาน

รายการเหล่านี้สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อกำไรสุทธิ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรหลักหรือประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว

การนิยามรายได้ประจำ

รายได้ประจำหมายถึงรายได้ที่สร้างขึ้นอย่างสม่ำเสมอผ่านกิจกรรมทางธุรกิจปกติ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องจากกิจกรรมหลัก เช่น รายรับจากยอดขายล minus ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่า และต้นทุนขาย (COGS) ตัวเลขเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกว่า บริษัทสามารถรักษาโมเดลธุรกิจไว้ได้นานแค่ไหนในหลายช่วงเวลา

องค์ประกอบสำคัญประกอบด้วย:

  • รายได้ดำเนินงาน: รายรับ minus ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน
  • กำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย (Net Income): กำไรรวมหลังหักภาษีและดอกเบี้ยแล้ว

นักลงทุนให้ความสนใจกับรายได้ประจำมาก เพราะมันเป็นแนวโน้มที่จะบ่งชี้เสถียรภาพของผลประกอบการในอนาคต มากกว่าการเพิ่มขึ้นชั่วคราวที่เกิดจากเหตุการณ์พิเศษ

ทำไมต้องแยกระหว่างสองประเภทนี้?

ความสามารถในการแยกรายละเอียดรายการครั้งเดียวออกจากรายได้ประจำถูกต้องแม่นยำมีเหตุผลหลายข้อ:

  1. โปร่งใสทางด้านการเงิน: การแบ่งแยะนี้ช่วยให้ข้อมูลทางด้านบัญชีสะท้อนผลประกอบการจริง ๆ โดยไม่มีข้อมูลหลอกลวง
  2. มูลค่าการลงทุน: นักลงทุนต้องมองหาแนวโน้มกำไรที่มั่นคง; การดูเพียงยอดรวมกำไรสุทธิโดยไม่ปรับแต่งสำหรับรายการไม่ใช่แบบปกติ อาจทำให้ประมาณค่าศักยภาพเติบโตเกินจริง
  3. บริหารจัดการกระแสเงินสด: เข้าใจว่ารายรับนั้นเป็นแบบถาวรหรือไม่ ช่วยให้องค์กรวางกลยุทธ์บริหารจัดแจงกระแสเงินสดดีขึ้น เนื่องจากบางส่วนอาจเป็นเพียงโชคลาภชั่วคราวเท่านั้น
  4. เปรียบเทียบผลงาน: เมื่อเปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้ตัวเลขปรับแต่งเพื่อขจัดธุรกรรมผิดธรรมชาติออกไป

หากละเลยขั้นตอนนี้ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ากำไรก่อนหน้านั้นจะยังคงอยู่ หรือมองข้ามปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพระยะยาว

ความท้าทายในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี

พื้นที่คริปโตเพิ่มระดับความซับซ้อน เนื่องด้วยธรรมชาติผันผวนสูง และช่องทางสร้างรายได้เฉพาะตัว เช่น ขายโทเค็น หรือ รายรับจากเหมือง (Mining revenues) ซึ่งบางทีดูเหมือนว่าจะเข้ามาแบบจำนวนมากแต่ก็อาจไม่รักษาระดับกำไรไว้ได้นาน

ตัวอย่างเช่น:

  • ICOs (Initial Coin Offerings) สร้างทุนจำนวนมากตั้งแต่ต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นรายรับต่อเนื่องเสมอไป
  • การขายโทเค็นช่วยระดมทุนทันที แต่ไม่มีข้อผูกพันเรื่องกระแสเงินสดอนาคต
  • รายรับจากเหมือง cryptocurrency มีแนวโน้มเปลี่ยนตามราคาสกุลเงินดิจิทัลและระดับ difficulty ของเครือข่าย—ทำให้ตรวจสอบว่าเป็นช่องทางสร้างรายไดยั่งยืนหรือเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ยากขึ้น

แรงเหวี่ยงดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนควรวิเคราะห์ว่าราย earning reported นั้น มาจากกิจกรรมซ้ำซาก เช่น ค่าธรรมเนียมหรือเพียงสถานการณ์ตลาดชั่วคราวเท่านั้น

แนวโน้มล่าสุดที่สนับสนุนวิธี classification ที่ถูกต้อง

ในช่วงปีหลังๆ แนวโน้มด้านลงทุนเริ่มใส่ใจเรื่อง sustainability มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านเกณฑ์ ESG (Environmental, Social & Governance)—ซึ่งเน้นเรื่อง cash flow ที่มั่นคงกว่า ผลตอบแทนระยะสั้น จากปัจจัย non-recurring

เพิ่มเติม:

  • Impact investing มุ่งหวังเลือกบริษัทที่มี revenue streams ที่คาดเดาได้ง่าย
  • นอกจากนี้ นวัตกรรม blockchain ก็เรียกร้องให้นักวิเคราะห์ตรวจสอบรายละเอียด เพราะหลายโปรเจ็กต์ใหม่เสนอ revenue สูงตั้งแต่แรกเริ่ม แล้วลดลงตามเวลา

แนวนโยบายนี้ส่งเสริมให้นัก วิเคราะห์ ปรับวิธีคิดเพื่อ focus ไปยัง earnings ที่ normalized แทนที่จะดูแต่ตัวเลข raw data จากเหตุการณ์สุดขั้ว

ความเสี่ยงเมื่อเกิดข้อผิดพลาดในการจัดประเภท

ถ้าลักษณะหนึ่งถูกเข้าใจผิดว่า เป็น income ประจำ หรือกลับกัน ก็มีผลเสียใหญ่หลวง:

  • งบประมาณปลอม*: กำไรมากเกินจริงโดยรวม gains ไม่ใช่ recurring ทำให้ภาพรวมบัญชีคลาดเคลื่อน อันตรายต่อนักลงทุน
  • ตัดสินใจลงทุนผิด*: ใช้ข้อมูลเกินจริง จนอาจะซื้อสินทรัพย์ undervalued ด้วยหวังว่าจะเติบโตต่อ แต่แท้จริงแล้ว performance ไม่มั่นคง
  • กระแสรั่วไหล*: ประมาณค่า income ต่อไปสูงเกินจริง ถ้า incomes เหล่านี้เป็น transient จริงๆ จะส่งผลต่อ liquidity อย่างหนักเมื่อพบข้อเท็จจริง

ดังนั้น จึงควรวิเคราะห์ข้อมูลด้วย rigor ก่อนจะตัดสินบน basis ตัวเลขบัญชี เพื่อลักษณะบริบทก็สำคัญที่สุด here.


ขั้นตอนปฏิบัติ เพื่อแบ่ง Item ครั้งเดียว กับ รายได้ประจำ อย่างมืออาชีพ

เพื่อช่วยในการ differentiate ระหว่างสองประเภทนี้:

  1. ตรวจสอบงบประมาณอย่างละเอียด
    • อ่าน notes ในสมุดบัญชี งบดุล และ งาบพลิก เพื่อดูรายละเอียด transaction พิเศษต่าง ๆ แสดงไว้อย่างชัดเจน
  2. วิเคราะห์แนวโน้มย้อนหลังหลายช่วงเวลา
    • ยอด recurring revenue ควรมี stability ในทุก quarter/ปี ส่วน item ครั้งเดียวจะ appear sporadically
  3. ปรับแต่งตัวเลข earnings ตามสมควร
    • ลบทุกรายละเอียด non-recurring gains/losses เมื่อคิด normalized EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation & Amortization)
  4. พิจารณาปัจจัยภายนอก
    • สถานะตลาด crypto เช่น ความผันผวนด้าน mining difficulty หรือตารางเวลาขายใน asset ต้องนำมาใช้ร่วมกับคำถามเรื่อง sustainability ด้วย

แนวปฏิบัติสำหรับนักลงทุนและนัก วิเคราะห์

เพื่อช่วยลด risk และเพิ่ม accuracy ใน decision-making ให้:

  • ทำ Due Diligence อย่างละเอียด*: ตรวจสอบว่าการเพิ่ม profit แบบ unusual เกิดขึ้นเพราะ core operations จริงๆ หรือ เป็น incident เฉี่ยวฉิว
  • ใช้ Metrics ปรับแต่ง*: ให้ focus ไปยัง EBITDA ปรับแล้ว หรือตัวเลข cash flow จาก operations ที่ exclude extraordinary items เพื่อเปรียบเทียบกันง่ายขึ้น across periods
  • ติดตาม trend industry อยู่เสมอ*: เข้าใจ how market developments influence earning patterns ทั้งแบบ typical กับ atypical—โดยเฉพาะ sectors ผันผวนสูง like cryptocurrencies.

สรุปสุดท้าย

Differentiating ระหว่าง transaction ครั้งเดียว กับ earnings ต่อเนื่อง เป็นหัวใจสำคัญของ transparency ทางด้านบัญชี รวมทั้งกลยุทธ investment ฉลาด — โดยเฉพาะเมื่อโลกเข้าสู่ยุคนิยม blockchain เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ ด้วย เทคนิค analytical diligence รวมทั้งอ่าน disclosures อย่างละเอียด พร้อมทั้งเข้าใจกฎเกณฑ์ industry-specific stakeholders สามารถตีโจทย์ report ได้ดี รู้ทัน pitfalls ของ classification ผิด แล้วเลือกกลยุทธ ลงทุน ได้ตรงกับ long-term value creation มากที่สุด

19
0
0
0
Background
Avatar

JCUSER-IC8sJL1q

2025-05-19 16:55

วิธีการแยกแยะรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว จากรายได้ที่เกิดซ้ำๆ ในบัญชีผลประโยช์

วิธีแยกแยะรายการครั้งเดียวจากรายได้ประจำ

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างรายการครั้งเดียวและรายได้ประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ทางการเงินที่แม่นยำ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดทั้งแบบดั้งเดิมและคริปโต การเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัทหรือโครงการที่ผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการตัดสินใจลงทุนที่ไม่ดี คู่มือนี้จะให้ภาพรวมชัดเจนเกี่ยวกับวิธีแยกความแตกต่างระหว่างสองประเภทของรายได้นี้และทำไมมันจึงสำคัญ

รายการครั้งเดียวในงบการเงินคืออะไร?

รายการครั้งเดียวคือธุรกรรมหรือเหตุการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลารายงานเท่านั้น พวกมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติของธุรกิจหรือโครงการ ซึ่งอาจรวมถึงกำไรจากขายสินทรัพย์ การชำระหนี้ตามกฎหมาย ค่าปรับปรุงโครงสร้างองค์กร หรือค่าใช้จ่ายพิเศษ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์เฉพาะ ผลกระทบต่องบการเงินจึงไม่สะท้อนถึงผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น:

  • ขายอสังหาริมทรัพย์ในราคาที่มีกำไร
  • รับค่าชดเชยจากประกันภัย
  • ค่าธรรมเนียมปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเนื่องจากปลดคนงาน

รายการเหล่านี้สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อกำไรสุทธิ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรหลักหรือประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว

การนิยามรายได้ประจำ

รายได้ประจำหมายถึงรายได้ที่สร้างขึ้นอย่างสม่ำเสมอผ่านกิจกรรมทางธุรกิจปกติ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องจากกิจกรรมหลัก เช่น รายรับจากยอดขายล minus ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่า และต้นทุนขาย (COGS) ตัวเลขเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกว่า บริษัทสามารถรักษาโมเดลธุรกิจไว้ได้นานแค่ไหนในหลายช่วงเวลา

องค์ประกอบสำคัญประกอบด้วย:

  • รายได้ดำเนินงาน: รายรับ minus ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน
  • กำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย (Net Income): กำไรรวมหลังหักภาษีและดอกเบี้ยแล้ว

นักลงทุนให้ความสนใจกับรายได้ประจำมาก เพราะมันเป็นแนวโน้มที่จะบ่งชี้เสถียรภาพของผลประกอบการในอนาคต มากกว่าการเพิ่มขึ้นชั่วคราวที่เกิดจากเหตุการณ์พิเศษ

ทำไมต้องแยกระหว่างสองประเภทนี้?

ความสามารถในการแยกรายละเอียดรายการครั้งเดียวออกจากรายได้ประจำถูกต้องแม่นยำมีเหตุผลหลายข้อ:

  1. โปร่งใสทางด้านการเงิน: การแบ่งแยะนี้ช่วยให้ข้อมูลทางด้านบัญชีสะท้อนผลประกอบการจริง ๆ โดยไม่มีข้อมูลหลอกลวง
  2. มูลค่าการลงทุน: นักลงทุนต้องมองหาแนวโน้มกำไรที่มั่นคง; การดูเพียงยอดรวมกำไรสุทธิโดยไม่ปรับแต่งสำหรับรายการไม่ใช่แบบปกติ อาจทำให้ประมาณค่าศักยภาพเติบโตเกินจริง
  3. บริหารจัดการกระแสเงินสด: เข้าใจว่ารายรับนั้นเป็นแบบถาวรหรือไม่ ช่วยให้องค์กรวางกลยุทธ์บริหารจัดแจงกระแสเงินสดดีขึ้น เนื่องจากบางส่วนอาจเป็นเพียงโชคลาภชั่วคราวเท่านั้น
  4. เปรียบเทียบผลงาน: เมื่อเปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้ตัวเลขปรับแต่งเพื่อขจัดธุรกรรมผิดธรรมชาติออกไป

หากละเลยขั้นตอนนี้ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ากำไรก่อนหน้านั้นจะยังคงอยู่ หรือมองข้ามปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพระยะยาว

ความท้าทายในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี

พื้นที่คริปโตเพิ่มระดับความซับซ้อน เนื่องด้วยธรรมชาติผันผวนสูง และช่องทางสร้างรายได้เฉพาะตัว เช่น ขายโทเค็น หรือ รายรับจากเหมือง (Mining revenues) ซึ่งบางทีดูเหมือนว่าจะเข้ามาแบบจำนวนมากแต่ก็อาจไม่รักษาระดับกำไรไว้ได้นาน

ตัวอย่างเช่น:

  • ICOs (Initial Coin Offerings) สร้างทุนจำนวนมากตั้งแต่ต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นรายรับต่อเนื่องเสมอไป
  • การขายโทเค็นช่วยระดมทุนทันที แต่ไม่มีข้อผูกพันเรื่องกระแสเงินสดอนาคต
  • รายรับจากเหมือง cryptocurrency มีแนวโน้มเปลี่ยนตามราคาสกุลเงินดิจิทัลและระดับ difficulty ของเครือข่าย—ทำให้ตรวจสอบว่าเป็นช่องทางสร้างรายไดยั่งยืนหรือเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ยากขึ้น

แรงเหวี่ยงดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนควรวิเคราะห์ว่าราย earning reported นั้น มาจากกิจกรรมซ้ำซาก เช่น ค่าธรรมเนียมหรือเพียงสถานการณ์ตลาดชั่วคราวเท่านั้น

แนวโน้มล่าสุดที่สนับสนุนวิธี classification ที่ถูกต้อง

ในช่วงปีหลังๆ แนวโน้มด้านลงทุนเริ่มใส่ใจเรื่อง sustainability มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านเกณฑ์ ESG (Environmental, Social & Governance)—ซึ่งเน้นเรื่อง cash flow ที่มั่นคงกว่า ผลตอบแทนระยะสั้น จากปัจจัย non-recurring

เพิ่มเติม:

  • Impact investing มุ่งหวังเลือกบริษัทที่มี revenue streams ที่คาดเดาได้ง่าย
  • นอกจากนี้ นวัตกรรม blockchain ก็เรียกร้องให้นักวิเคราะห์ตรวจสอบรายละเอียด เพราะหลายโปรเจ็กต์ใหม่เสนอ revenue สูงตั้งแต่แรกเริ่ม แล้วลดลงตามเวลา

แนวนโยบายนี้ส่งเสริมให้นัก วิเคราะห์ ปรับวิธีคิดเพื่อ focus ไปยัง earnings ที่ normalized แทนที่จะดูแต่ตัวเลข raw data จากเหตุการณ์สุดขั้ว

ความเสี่ยงเมื่อเกิดข้อผิดพลาดในการจัดประเภท

ถ้าลักษณะหนึ่งถูกเข้าใจผิดว่า เป็น income ประจำ หรือกลับกัน ก็มีผลเสียใหญ่หลวง:

  • งบประมาณปลอม*: กำไรมากเกินจริงโดยรวม gains ไม่ใช่ recurring ทำให้ภาพรวมบัญชีคลาดเคลื่อน อันตรายต่อนักลงทุน
  • ตัดสินใจลงทุนผิด*: ใช้ข้อมูลเกินจริง จนอาจะซื้อสินทรัพย์ undervalued ด้วยหวังว่าจะเติบโตต่อ แต่แท้จริงแล้ว performance ไม่มั่นคง
  • กระแสรั่วไหล*: ประมาณค่า income ต่อไปสูงเกินจริง ถ้า incomes เหล่านี้เป็น transient จริงๆ จะส่งผลต่อ liquidity อย่างหนักเมื่อพบข้อเท็จจริง

ดังนั้น จึงควรวิเคราะห์ข้อมูลด้วย rigor ก่อนจะตัดสินบน basis ตัวเลขบัญชี เพื่อลักษณะบริบทก็สำคัญที่สุด here.


ขั้นตอนปฏิบัติ เพื่อแบ่ง Item ครั้งเดียว กับ รายได้ประจำ อย่างมืออาชีพ

เพื่อช่วยในการ differentiate ระหว่างสองประเภทนี้:

  1. ตรวจสอบงบประมาณอย่างละเอียด
    • อ่าน notes ในสมุดบัญชี งบดุล และ งาบพลิก เพื่อดูรายละเอียด transaction พิเศษต่าง ๆ แสดงไว้อย่างชัดเจน
  2. วิเคราะห์แนวโน้มย้อนหลังหลายช่วงเวลา
    • ยอด recurring revenue ควรมี stability ในทุก quarter/ปี ส่วน item ครั้งเดียวจะ appear sporadically
  3. ปรับแต่งตัวเลข earnings ตามสมควร
    • ลบทุกรายละเอียด non-recurring gains/losses เมื่อคิด normalized EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation & Amortization)
  4. พิจารณาปัจจัยภายนอก
    • สถานะตลาด crypto เช่น ความผันผวนด้าน mining difficulty หรือตารางเวลาขายใน asset ต้องนำมาใช้ร่วมกับคำถามเรื่อง sustainability ด้วย

แนวปฏิบัติสำหรับนักลงทุนและนัก วิเคราะห์

เพื่อช่วยลด risk และเพิ่ม accuracy ใน decision-making ให้:

  • ทำ Due Diligence อย่างละเอียด*: ตรวจสอบว่าการเพิ่ม profit แบบ unusual เกิดขึ้นเพราะ core operations จริงๆ หรือ เป็น incident เฉี่ยวฉิว
  • ใช้ Metrics ปรับแต่ง*: ให้ focus ไปยัง EBITDA ปรับแล้ว หรือตัวเลข cash flow จาก operations ที่ exclude extraordinary items เพื่อเปรียบเทียบกันง่ายขึ้น across periods
  • ติดตาม trend industry อยู่เสมอ*: เข้าใจ how market developments influence earning patterns ทั้งแบบ typical กับ atypical—โดยเฉพาะ sectors ผันผวนสูง like cryptocurrencies.

สรุปสุดท้าย

Differentiating ระหว่าง transaction ครั้งเดียว กับ earnings ต่อเนื่อง เป็นหัวใจสำคัญของ transparency ทางด้านบัญชี รวมทั้งกลยุทธ investment ฉลาด — โดยเฉพาะเมื่อโลกเข้าสู่ยุคนิยม blockchain เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ ด้วย เทคนิค analytical diligence รวมทั้งอ่าน disclosures อย่างละเอียด พร้อมทั้งเข้าใจกฎเกณฑ์ industry-specific stakeholders สามารถตีโจทย์ report ได้ดี รู้ทัน pitfalls ของ classification ผิด แล้วเลือกกลยุทธ ลงทุน ได้ตรงกับ long-term value creation มากที่สุด

JuCoin Square

คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข